บทที่ 7 เปิดศึกชิงสามี

เรือนการแพทย์ (โรงตรวจคนไข้) ด้านทิศตะวันออกของเรือนซ่ง ภายในพื้นที่กว้างขวาง ซ่งเฟิงหัวได้ตั้งโรงหมอขึ้น แรกเริ่มแค่ตรวจโรคทั่วไป และขายยาง่ายๆ ทว่าภายหลังมีคนป่วยมาไม่คาด เขาจึงสร้างโรงเรือนขึ้น ให้การรักษาทั้งคนมีเงิน คนยากไร้ รวมถึงสัตว์ต่างๆ ที่เจ้าของเลี้ยงไว้ เช่นนี้ซ่งเฟิงหัวจึงเป็นหมอเทวดาของคนยาก นอกจากตรวจโรค ยังมีการสอนวิชาต่างๆ ด้วย เนื่องจากกองทัพต้องการความรู้ในเรื่องการรักษาบาดแผล รวมถึงการดูแลผู้ป่วย จากโรคภัยต่างๆ

ชื่อเสียงเขาโด่งดังจนใครๆ ต่างยกย่อง และอย่างที่ได้กล่าวไว้ก่อนหน้า ฝ่ายสำนักแพทย์ ได้ตั้งตนเป็นอริเขา ทว่าซ่งเฟิงหัวมีเพื่อนสนิทเป็นถึงแม่ทัพ และยังมีขุนนางชั้นผู้ใหญ่หลายคนที่เคยได้รับการรักษาจากเขา ดังนั้นแม้สำนักแพทย์อยากหาเรื่องคนผู้นี้ แต่ก็ยังไม่อาจทำสิ่งใดได้ถนัดนัก

ในขณะที่ซ่งเฟิงหัว ดูแลเด็กชายผู้หนึ่งที่ตัวร้อน และการหายใจไม่เป็นปกติ เสียงสตรีสองคนก็ดังอย่างต่อเนื่อง พวกนางกล่าวถึงเขา ฟังแล้วคงพยายามให้ซ่งเฟิงหัวเสียสมาธิ และออกไปเจรจาด้วย

“ท่านหมอ... ดูเหมือนแม่นางพวกนั้น จะถูกฮูหยินผู้เฒ่าเรียกตัวกลับมาก่อความวุ่นวายนะขอรับ”

คนที่ส่งเสียงร้อนใจคือ เติ้งซี ซึ่งได้ช่วยงานที่โรงหมอแห่งนี้มาเกือบห้าปี คล่องแคล่วทุกอย่าง อีกทั้งเรียนรู้การทำแผลงง่ายๆ แม้แต่ต้มยา หรือตรวจโรคพื้นฐานก็ทำได้ จึงเรียกว่าเป็นมือขวาของซ่งเฟิงหัว

“ข้ากำลังดูแล คนไข้... อย่าให้พวกนางเข้ามารบกวน” ชายหนุ่มย่อมรู้เท่าทันแผนของมารดา ทว่าไม่ได้คิดห้ามปราม ด้วยอย่างไรเขาก็รับมือได้เสมอมา

“แต่ดูเหมือนครั้งนี้ เล่นใหญ่จัดหนักมากนะขอรับ ทำร้ายกันรุนแรงเชียว และอ้างว่า หมอหัวทำบางสิ่งที่ไม่ถูกต้องกับพวกนาง!”

เติ้งซี กลัวการตบตีของสตรีอย่างที่สุด และหลายหน เมื่อพวกนางไม่ได้รับความสนใจจากซ่งเฟิงหัว ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นเขาที่ถูกสายตาพวกนางแทะโลม บางทีก็มือไว หยิกแก้ม และมีบางคนแอบจับบั้นท้ายเขาด้วย เรื่องนี้คือสิ่งที่เติ้งซี ตระหนักได้ว่า เขาช่างเป็นบุรุษที่แพ้ภัยต่อหญิงสาวพวกนี้จริงๆ

“ออกไปดูให้ข้า และตามคนอื่นมาช่วยงานข้างใน”

ซ่งเฟิงหัวบอกเสียงเข้ม จากนั้น เติ้งซีจึงรวบรวมความกล้า เพื่อไปรับมือกับเสียงดังด้านนอกโรงตรวจโรค

สตรีสองนางนั้นคือ หลิวอีอี กับ จู้เหอ พวกนางมาส่งเสียงล้งเล้งที่นี่ได้อย่างไร ทั้งที่ก่อนหน้านั้นถูกเสวียนจิ้งขับไล่ และประกาศว่าห้ามพวกนางมาเหยียบเรือนซ่ง

ทว่าหลังจากนางสิงห์เฒ่ากลืนน้ำลายตนเอง ไห่หลงก็รีบไปแจ้งข่าว เพื่อเปิดทางให้สตรีทั้งสองมาก่อเรื่องที่โรงตรวจโรคได้อย่างครึกครื้น!

หลิวอีอีเป็นสตรีจอมพลัง ปีนี้อายุได้สิบเก้าแล้ว ใบหน้าจืดชืด ไร้เสน่ห์อยู่สักหน่อย กระนั้นนางก็มีฐานะดี ที่บ้านเปิดเขียงหมู ทำงานหนักมาตั้งแต่เด็ก ร่างกายจึงทรงพลังมิต่างจากบุรุษ

ส่วนอีกคนที่ลงมือตบหน้าหลิวอีอี นางคือจู้เหออายุเกือบยี่สิบหกปี เรียกว่าเกินวัยออกเรือนไปหลายปี นางเป็นสตรีร่างผอมสูง หากกล่าวว่าไม่งามก็ดูใจร้ายเกินไป เอาเป็นว่านางเป็นคนที่มีบุคลิกที่เกินพอดี ชอบยิ้ม หัวเราะเสียงดัง ที่สำคัญหลายหน นางมักมือไวแอบหยิบของใช้ หรือเสื้อผ้าของซ่งเฟิงหัวกลับเรือนตน จู้เหอชอบดมกลิ่นบุรุษ และหากกลิ่นนั้นเป็นของซ่งเฟิงหัว ก็ทำให้นางเคลิ้มหลับฝันดี

“ตบข้าอีก!”

หลิวอีอีออกคำสั่งจู้เหอ

“มือข้าเล็กเท่านี้ ส่วนหน้าเจ้าก็หนาเหลือเกิน คิดอย่างไร ถึงอยากเป็นคนที่ถูกรังแก แล้วสลบให้หมอหัวมารักษา อีกอย่างใครกันจะอุ้มเจ้าเข้าไปเรือนตรวจโรคได้ ตัวใหญ่เสียยิ่งกว่าสุกร”

หลิวอีอีหน้าแดงระเรือขึ้นทันที และตอบด้วยเสียงถูกกดให้ต่ำว่า “ที่เราตกลงเช่นนี้ เพราะจู้เจี่ยปัญญาทึบ ทำสิ่งใดก็น่ารำคาญไปหมด ฉะนั้นคนที่หมอหัวสมควรรักษาอย่างแนบชิด ย่อมต้องเป็นข้า และอย่างไรเขาก็มีกำลังอุ้มหลิวอีอี ผู้นี้แนบอกแกร่งๆ ได้ แน่นอน”

ได้ยินอย่างนั้น จู้เหอที่ดูเหมือนคนฉลาดน้อยตามที่อีกฝ่ายว่า ก็เริ่มปะติดปะต่อหลายสิ่งได้ หากนางปล่อยให้หลิวอีอีแกล้งสลบ ก็หมายความว่าซ่งเฟิงหัวจะให้การรักษาแก่อีกฝ่าย เช่นนี้นางควรเป็นผู้ป่วยย่อมเหมาะสมกว่า

“โอ๊ย ข้าหายใจไม่ออก หน้ามืด โอ๊ย... หมอหัว... ภรรยาท่านสลบแล้วไฉนจะใจร้าย ไม่ออกมาดูเล่า”

หลิวอีอีได้เห็นการแสดงงิ้วของจู้เหอเช่นนั้น จึงเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน อยากจับร่างบอบบางทุ่มลงพื้นเสียจริง แต่ทว่าไม่ทันทำสิ่งใด จู้เหอก็สลบลงไปนอนบนพื้น และนางเล่นได้สมบทบาทอย่างหน้าหมั่นไส้

ยามนั้นเติ้งซีออกมา เห็นเหตุการณ์เข้าพอดี และเขาเตรียมถอยกลับเข้าไปด้านใน ทว่าไม่รู้ด้วยเหตุใด หลิวอีอีกับโพนทะยานร่างอวบหนาของนางมาเกาะขาเขาหมับ

“ผู้ช่วยเติ้ง... บอกสามีข้าที ขะ ข้าหายใจไม่ออก อ๊ะ... อ๊ะ... ภรรยาจอมแก่นของหมอหัว กำลังจะตายแล้ว”

บทก่อนหน้า
บทถัดไป